[One-Shot] Twain - TaeNySic
ผู้เข้าชมรวม
1,186
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Twain
บ่ายวันอาทิตย์วันธรรมดาที่พิเศษของใครหลายคน พนักงานออฟฟิศที่ตรากตรำทำงานมาทั้งสัปดาห์จะได้หยุดพัก เดทแรกของนักเรียนมัธยมปลาย วันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าทานข้าวเช้าพร้อมกัน วันที่สวนสนุกแน่นขนัด ห้างสรรพสินค้าเต็มไปด้วยผู้คน แม้สายฝนจะตกปรอยๆตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วและยังไม่หยุดจนถึงช่วงบ่ายนี้แต่ก็ไม่ทำให้ผู้คนเกรงกลัวเท่าไหร่นัก รถรายังคงเต็มท้องถนน ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา เสียงจอแจยังดังให้ได้ยินอยู่ไม่ขาดสาย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอิทธิพลมากมายกับคนที่นอนอุดอู้อยู่บนเตียงนุ่มและผ้าห่มผืนหนาอยู่ในขณะนี้ แม้นาฬิกาจะบอกเวลาเลยครึ่งวันมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคนบนเตียงจะยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน หลังจากที่อดหลับอดนอนมาหลายคืนจากโปรเจ็คสุดท้ายก่อนสอบปลายภาคเสร็จ เป็นเรื่องธรรมดาที่นักศึกษาคณะสถาปัตย์ปี 3 ผู้นี้ต้องเจออยู่บ่อยๆ และกลายเป็นเรื่องเคยชินกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำ กับผลงานแต่ละชิ้นที่พยายามแทบตายแต่สุดท้ายมันก็ลงไปกองอยู่ในถังขยะอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะด้วยฝีมือตัวเองหรืออาจารย์ก็เถอะ
“อือ” เสียงครางลอดผ่านลำคอของคนที่หลับใหลไปกว่า 12 ชั่วโมง มือเล็กความหาโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียง ดวงตาที่ปิดสนิทปรือขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองตัวเลขบนหน้าจอให้ชัดเจนขึ้น
“ บ่ายสองสิบห้า” พึมพำเบา ๆ ก่อนจะพยายามพาร่างกายอันหนักอึ้งของตัวเองลุกขึ้นนั่ง ความปวดเมื่อยบริเวณหัวไหล่และต้นแขนขวายังไม่หายไปไหน ท้องน้อย ๆ เรื่อมส่งเสียงงอแงหลังจากไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน
ร้านกาแฟเปิดใหม่ใกล้คอนโดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้ หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ ร่างเล็กก็พาตัวเองมานั่งในร้านกาแฟแห่งนี้พร้อมกับเมนูกาแฟยาวเหยียดในร้าน ไม่บ่อยครั้งนักที่จะพาตัวเองมาในสถานที่แบบนี้ เพราะส่วนใหญ่เธอมักจะอยู่ในร้านเครื่องเขียนหรือขลุกอยู่ในร้านหนังสือสักครึ่งวัน ด้วยไม่จัดแจงในเรื่องแบบนี้และก็ไม่ใช่คอกาแฟก็ไม่รู้ว่าแต่ละอย่างมันต่างกันยังไง และสุดท้ายเลยได้ลาเต้กับชีสเค้กอีกสองชิ้นมานั่งกินเงียบ ๆ อยู่โต๊ะมุมสุดในร้านนี่แหละ เหตุผลหนะหรือ ชื่อมันสั้นดีสั่งง่ายสุดแล้ว
การแต่งตัวที่ไม่ได้จัดแจงเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ตามกระแสแฟชั่นมากนัก มีเพียงเสื้อยืดสีขาวลายกราฟิกสวย ๆ อย่างที่เจ้าตัวชอบ กางเกงยีนส์ขายาวรับรัดรูดสีซีดที่ขาดตรงหัวเข่า กับรองเท้าผ้าใบที่ไม่ค่อยจะได้รับการดูแลจากเจ้าของมากนัก แต่ทุกอย่างเมื่ออยู่บนตัวของคนตัวเล็กมันกลับเข้ากันเป็นอย่างดีใบหน้าใสอ่อนวัย ดวงตาสีน้ำตาล ริมฝีปากแดงระเรื่อ กับจมูกน้อยๆ และดวงหน้าเรียวเล็ก ที่ดูยังไงก็เข้าใกล้คำว่าน่ารัก ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบไปมัดหลวม ๆ ไว้ข้างหลังเหลือเพียงหน้าม้าที่คลอเคลียใบหน้าใสอยู่ ไม่แปลกใจที่เธอจะได้รับความสนใจจากคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ในขณะนี้ แต่มันคงไม่มากพอที่จะดึงดูดให้เธอหันกลับมาสนใจหรือยิ้มตอบอย่างบรรดาผู้หญิงมรรยาทงามทั่วไปหรอกนะ มันไม่ใช่ตัวฉันอยู่แล้วแบบนั้นหนะ รีบตักเค้กคำสุดท้ายเข้าปากก่อนจะยกกาแฟในถ้วยดื่มให้หมด ก่อนจะจ่ายตังและพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ที่แสนจะไม่สบอารมณ์
สายฝนจะหยุดตกลงมาได้สักพักเหลือร่องรอยไว้เพียงพื้นคอนกรีตแฉะ ๆ ขาเรียวก้าวพาตัวเองเข้ามาในร้านหนังสือร้านประจำ ที่มาได้ทุกวันวันละหลายชั่วโมงในช่วงที่ติดนิยายหนัก ๆ
“ ไม่มีเรียนหรอ ” เสียงคนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เอ่ยทักขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออกและปรากฏร่างของใครอีกคน
“วันอาทิตย์”
“กินอะไรมายัง ดูสภาพเหมือนคนพึ่งตื่นนอน”
“อื้อ” ครางรับเบา ๆ ก่อนจะเดินมานั่งหลังเคาน์เตอร์ข้าง ๆ เจ้าของร้าน
ใบหน้าหวาน ริมฝีปากได้รูป จมูกโด่งรั้น มาพร้อมกับดวงตาคู่สวยที่มากับรอยยิ้มสวยที่ไม่ว่าใครได้มองก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ การศึกษาที่จบจากเมืองนอกคงการันตรีได้ว่าเธอไม่ได้แค่สวยไปวัน ๆ นอกจากร้านหนังสือแห่งนี้แล้ว เธอยังทำงานแปล และเขียนคอลัมน์ให้กับบริษัทหนังสือเล็กๆ นอกจากนี้ก็ยังมีนิยายที่เธอเขียนเองออกมาให้ได้อ่านปีละเล่มสองเล่ม ลูกสาวคนเล็กของตระกูลฮวังเจ้าของบริษัทสื่อ และสิ่งพิมพ์ชื่อดัง แม้จะถูกทางเรียกให้กลับไปทำงานในบริษัทอยู่บ่อย ๆแต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธมันซะทุกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเธออยากจะสร้างเรื่องราวของเธอขึ้นเอง ไม่อยากเรียนรู้จากสิ่งที่ใครสร้างขึ้นและมีอยู่แล้ว และตอนนี้เธอก็มีความสุขดีกับเรื่องราวที่เป็นอยู่อย่างนี้ เรื่องราวที่ได้สร้างขึ้นเอง
“ ง่วง” เสียงเนือยๆ ของคนข้างๆ ที่ฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์ดังขึ้น
“ออกมาทำไม ไม่นอนอยู่บ้าน”
“ก็พึ่งตื่นนี่แหละ”
“ทำงาน” เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“อืม ไม่ได้นอนมาสองอาทิตย์แล้ว”
“ไหนเงยหน้าขึ้นมาดูซิสภาพยังดูได้อยู่รึเปล่า” พูดติดตลกเจือด้วยเสียงหัวเราะเล็กพร้อมร้อยยิ้มกว้างบนใบหน้า ขณะที่พลิกไปหน้าของอีกคนให้หันมา
“ทำงาน ไม่ได้ไปรบสักหน่อย” ตอบด้วยเสียงขุ่น พร้อมท่าทีฟึดฟัดดูยังไงก็น่ารักมากกว่าน่ากลัว จมูกเล็กที่ย่นขึ้นอยากจะบีบให้หายหมั่นไส้
.
.
.
.
.
หลังจากโปรเจ็คสุดท้ายของเทอมนี้ผ่านไป งานไม่ลงไปนอนเล่นในถังขยะนักศึกษาตัวเล็กคนนี้ก็พอหายใจหายคอคล่องขึ้นมาอีกนิดก่อนจะถึงสัปดาห์สอบปลายภาคอีกครั้ง ภายในห้องนอนที่ดูยังไงก็ไม่เข้าใกล้คำว่าคล้ายเลยสักนิด กระดาษทั้งดีและเสียวางปะปนกันเต็มพื้นห้องบางอันก็ถูกขยำจนยับยู่ยี่และโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี อุปกรณ์การเขียนเกลื่อนเต็มพื้น เศษไม้ที่เหลือจากการตัดโมเดลก็ยังไม่ได้เก็บเช่นกันไม่ใช่เธอจะโสโครกขนาดนั้นหรอกเพียงแต่ยังไม่มีเวลาจะเก็บมันเท่านั้นเอง
“กระเป๋าตังค์ มือถือ หูฟัง ไอพอด ...............” เสียงงึมงำขณะเก็บข้าวของลงในกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาลเข้ม ขาเรียวเขี่ยสิ่งของเกลื่อนกลาดบนพื้นพอให้มีเส้นทางได้ย่างกรายออกจากห้อง มองนาฬิกาบนข้อมือที่เลยเวลานัดมาร่วมสิบนาทีสองขาพาตัวเองมาหยุดหน้าคอนโดพร้อมกับเสียงหอบเหนื่อย สอดสายตามองหาใครอีกคน
“มาช้าสิบสองนาทีสี่สิบเจ็ดวินาที”
“นาฬิกามันไม่ปลุก”
“เหตุผลฟังไม่เข้าท่าสักนิด” หญิงสาวมองหน้าคนตัวเล็กพลางย่นจมูกแสดงสีหน้าไม่พอใจ
“นอนดึกทุกคืนเลยสินะ” เอ่ยถามขึ้นหลังจากแพลนสายตาสำรวจคนตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าดูหมองลง ขอบตาบวมเล็กน้อย กับร่างบางที่ดูจะซูบผอมลง
“งั้นมั้ง เป็นห่วงรึไง” รอยยิ้มถูกส่งไปให้คนตรงหน้า
“ไม่ใช่สักหน่อยก็แค่เห็นผอมลง”
“ ไม่ห่วงจริงอะ” คนขี้แกล้งยังคงหยอดแหย่ให้หญิงสาวหน้าแดงเล่นๆ ไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่คอยส่งมาให้ จนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นฟาดไหล่เป็นชุดโทษฐานที่แกล้งให้เธอเขินได้ขนาดนี้
“อา....เจ็บนะ เลิกตีได้แล้ว” มือเล็กรวบมือของหญิงสาวไว้ก่อนจะกอบกุมและฉุดให้อีกคนเดินตามกันไป
มันก็เป็นแบบนี้มานานแล้วหละตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว วันนั้นฉันจำได้แม่นเลยหละ ผู้หญิงที่ชอบทำหน้ามึน ๆ ซึน ๆ เหมือนจะไม่สนใจอะไร ใบหน้าที่แสนจะเฉยเมยออกจะดูหยิ่ง ๆ ไปด้วยซ้ำ รอยยิ้มเย็นๆ นั่นก็ด้วยหลายคนที่ไม่รู้จักคงคิดว่าเธอคงเหมือนกับลูกคุณหนูเหวี่ยง วีน และเอาแต่ใจประมาณนั้น แต่ไม่ใช่กับฉันเลยสักนิด เธอน่ารัก ขี้อ้อน ติดแต่เอาแต่ใจตัวเองและขี้งอนไปเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะใบหน้าเวลาสาวเจ้าเธองอนนั้นน่ารักเป็นบ้า และมันก็ทำให้ฉันยิ้มได้ทุกครั้ง และเมื่อไรที่เธอตั้งใจงอนฉันก็เต็มใจที่จะง้อ มันก็เป็นแบบนี้แหละเป็นมานานแล้วด้วย
“เค้าว่าดูเรื่องนี้ดีกว่า” เสียงของคนตัวเล็กกว่าเอ่ยขึ้นขณะอยู่หน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วหนัง
“ไม่เอาเค้าไม่ชอบหนังแอคชั่นยิงกันเลือดสาด” อีกเสียงของคนข้าง ๆ เอ่ยประท้วงไม่เห็นด้วยกับหนังเรื่องที่คนตัวเล็กเลือก
“ดูเรื่องนี้ดีกว่าน่ารักดีออก” หญิงสาวเสนอความเห็นของเธอพร้อมกับระบายยิ้มบนใบหน้า
“ไม่อ่ะเค้าไม่ชอบดูแอนิเมชั่น” เถียงกันไปมาอยู่นานแต่ก็ไม่ได้ข้อยุติ สุดท้ายก็ลงเอยที่ร้านขายดีวีดีเลือกซื้อใครซื้อมันกลับไปดูที่บ้านเองละกัน
“แทงกูอ่ะเรื่องมากจัง”
“สิก้านั่นแหละเรื่องมากเค้าจะดูเรื่องไหนก็ไม่ให้ดู” เอ่ยอย่างไม่ได้จริงจังอะไร ก็แค่อยากจะแกล้งอีกคนเท่านั้น ดูสิหน้างอ ๆ นั่นกำลังมองมาทางเธออย่างคาดโทษ ไหนจะท่าทีฟึดฟัดที่แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง มันทำให้ฉันหุบยิ้มไม่ได้จริง ๆ เธอก็เป็นแบบนี้เสมอเป็นมานานแล้วด้วย เจสสิก้าผู้แสนขี้งอน ฉันก็รักเธอที่เป็นแบบนี้รักมานานแล้วด้วย
“โอ๋ ๆ ...... งั้นเดี่ยวพาไปกินติม”
“ไม่” พองลมที่แก้มก่อบจะพ่นมันออกมา
“เลี้ยงข้าว”
“ไม่”
“ไปทำเล็บ”
“ก็บอกว่าไม่ไง”
“ไปร้านเสื้อผ้า ร้านทำผม ซื้อกระเป๋า เครื่องสำอาง.....” สารพัดวิธีที่คนตัวเล็กจะสรรหามาง้อแฟนสาวที่งอนตุ๊บป่องอยู่ตอนนี้ แต่ก็ดูจะไร้ผลมันไปซะทุกวิธี
“ไม่อะไรทั้งนั้นแหละ”
“แล้วไม่รักเค้าด้วยรึเปล่า” เอ่ยพลางยื่นใบหน้าใสเข้าไปใกล้ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากด้วยเช่นกัน
“รักสิ.... คนบ้า” ตอบพร้อมใบหน้าอมยิ้ม มือเรียวยกขึ้นฟาดไหล่คนเจ้าเล่ห์โดยอัตโนมัติ ใบหน้าที่เคยหงิกงอก็กลับมาอมยิ้มได้ไม่ยาก
“รักเค้าก็อย่างอนใส่กันแบบนี้สิ” ยกนิ้วก้อยขึ้นเป็นเหมือนสัญญายุติสงครามงอนง้อ
“หายโกรธแล้วนะ โอเคเดี๋ยวพาไปกินติม ไปทำเล็บ ซื้อเครื่องสำอาง ไปร้านหนังสือ และก็ก่อนกลับเค้าจะแวะซื้อปากกาเขียนแบบตกลงตามนี้นะ” ยังไม่ทันที่จะโต้เถียงหรือแย้งอะไรคนตัวเล็กก็ออกแรงดึงมือเธอให้เดินตาม
“คนบ้า...เอาแต่ใจชะมัด” ริมฝีปากบ่นขมุบขมิบแสดงความไม่พอใจกับคนจอมเผด็จการ
คิมแทยอน...คนบ้า...
ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มและกำลังจะลับหายไปในไม่ช้า ส่งผลให้อุณหภูมิที่สูงลิ่วมาทั้งวันลดลงบ้าง สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าคนเดินขวักไขว่ไม่ว่าจะมองไม่ทางไหน เย็นวันศุกร์ที่ควรจะสุขกับเสาร์อาทิตย์ที่นอนรออยู่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่ทำไมกับเธอถึงได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายไร้จุดหมายอย่างนี้ สองขาย่างไปบนฟุตบาธเรื่อย ๆ ดวงตาว่างเปล่าไร้จุดโฟกัส เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เธอไม่ยอมคุยกับฉัน ฉันผิดนัดเธอ อาจจะฟังดูเป็นเรื่องงี่เง่าแต่วันนี้แนเข้าใจดีถึงความรู้สึกของคนที่รอ เหมือนที่ฉันกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ไง รอว่าเมื่อไหร่เธอจะรับสาย เมื่อไหร่เธอจะยอมคุยกับฉัน เมื่อไหร่เธอจะหายโกรธกันสักที ฉันเข้าใจความรู้สึกนี้ดีก็วันนี้หละ
ไม่รู้ว่าเธอต้องคอยชำเลืองมองนาฬิกากี่ครั้ง มองผู้คนมากมายเพียงเพื่อมองหาฉันคนเดียว หรืออาจจะคิดว่าที่ฉันมาช้าอาจจะลืมกระเป๋าตังค์ หรือกังวลไปมากกว่านั้นว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับฉัน หลากหลายความคิดปะปนกันไปหมด แต่เมื่อคนที่รอคอยปรากฏกายตรงน่าเชื่อว่าความรู้สึกเหล่านี้จะลอยหายไปดังสายลมพัดผ่าน แต่ฉันไม่ได้ทำอย่างที่ว่าเพียงแค่โทรศัพท์ไปบอกเธอว่าไปไม่ได้แล้วในเวลาไม่ถึงสองนาที คุ้มกันหรอที่เธอรอฉันมาเกือบสองชั่วโมง เธอตอบมาว่าไม่เป็นไรแต่ฉันรู้เธอไม่มีทางไม่เป็นอะไรอย่างที่ว่าไม่อย่างนั้นเธอคงไม่หายไปโดยไร้การติดต่อแบบนี้หรอก ฉันยอมรับความผิดทุกข้อกล่าวหาแต่อย่าเงียบไปแบบนี้สิ....ฉันกลัวนะรู้เปล่า
ใบหน้าหงอยๆ ไม่พูดไม่จา ผิดสังเกตของคนที่เข้ามานั่งข้างเธอได้สักพัก แสดงถึงความไม่ปกติของสภาพความรู้สึกของคนตัวเล็กในขณะนี้
“ไปทำอะไรให้เค้างอนมาอีกหละ” เอ่ยถามหลังจากมองอยู่นานสีหน้าท่าทางแบบนี้คงมีเรื่องเดียวเท่านั้นหละที่คนตัวเล็กหนักอกหนักใจหนักหนา และก็มักจะมาปรึกษาเธอบ่อย ๆ แม้คำตอบที่ให้ไปจะเหมือนกันเกือบทุกครั้ง ไม่เป็นคำว่าไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย.... เรื่องของเธอเธอก็แก้เอาเองสิ.... หรือไม่ก็สมควรแล้วหละ.... อะไรประมาณนี้
“รู้ทันอีกแล้ว”
“อา...เอาถูกซะด้วย” เสียงหัวเลาะเล็ก ๆ เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินส่งผลให้คนตัวเล็กได้แต่ส่งสีหน้าไม่พอใจไปให้ นี่เธอกำลังเครียดอยู่นะยังจะมาหัวเราะหน้าระรื่นอีก ฮึ่ย.....
“ช่วยหน่อยสิ” เอ่ยเสียงหงอยไม่ต่างจากลักษณะใบหน้าที่เป็นอยู่
“ไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย” นั่นไงคำตอบที่ได้มาก็เข้าอีหรอบเดิมทุกครั้ง
“ไม่รู้หละป้าต้องช่วยฉัน”
“ท่าทางเบลอๆ นะวันนี้ เอานิยายไปอ่านสักสองเล่มไป อันนี้ให้เลยไม่ต้องคืน” พูดพลางยัดหนังสือนิยายลงในกระเป๋าของอีกคนที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์
“ไปกลับไปนอนซะดูท่าจะไม่ไหว” สีหน้าเรียบตึงจ้องมองหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ ยัดหนังสือให้แล้วบอกกลับไปนอนนี่เธอมาขอความช่วยเหลือนะ นอกจากจะไม่ได้แล้วยังถูกไล่อีก
“พรุ่งนี้คงไม่เห็นเธอมานั่งเป็นหมาหลงเจ้าของแบบนี้นะ” เอ่ยติดตลกกับสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจกับคำยุแหย่ของเธอนัก แก้มป่องถูกพ่นลมออกมาก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้ายแล้วก้าวเดินออกจากร้าน
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
.
.
.
“แทงกูอย่าหลับสิ” เขย่าคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่ผงกหัวหงึกหงักใกล้จะหลับเต็มที
ไม่ใช่อะไรหรอกหลังจากเธอหายโกรธฉัน ไม่สิเธอบอกไม่ได้โกรธฉันเลยเพียงแต่อย่างแกล้งให้ฉันกระวนกระวายเล่นสักสองอาทิตย์เท่านั้นเองก็คงพอจะหยวนๆกันได้กับที่ฉันผิดนัดเธอบอกกับฉันอย่างนั้น อา...ร้ายกาจชะมัดเลย และเพื่อเป็นการไถ่โทษอีกหลังจากแกล้งฉันให้หัวเสียไปแล้ว หลังสอบเสร็จฉันบอกว่าจะพามาดูหนังและก็จะตามใจเธอทุกอย่างเป็นเวลาสามวัน และนี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องมาทนนั่งดูแอนิเมชั่นแนวเจ้าหญิงที่เจ้าตัวชอบหนักหนา
“ง่วงอ่ะ” จะบอกว่าหนังมันแสนจะน่าเบื่อกไม่กล้า กลัวว่าเธอจะงอนแก้มป่องให้ต้องง้อกันอีก
“ง่วงอะไรยังไม่ถึงสิบห้านาทีเลยด้วยซ้ำ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” ไม่พูดเฉย ๆ สาวเจ้ารัวฝ่ามือไปบนท่อนแขนของอีกคนไม่ยั้ง
“โอเคๆ” ปรือตามองจอกว้างตรงหน้าและไม่ถึงสิบนาที่ถัดมาก้เป็นเหมือนเดิม
“ย๊า... แทงกูตื่นขึ้นมาเลยนะ.......”
เธอก็เป็นของเธอแบบนี้ เอาแต่ใจและงอนได้ทุกเรื่องแม้แต่เรื่องที่ไม่มีอะไรให้น่างอนเลยสักนิด และฉันก็เป็นแบบนี้ ไม่เคยเบื่อที่จะตามใจเธอเลยสักครั้ง
เจสสิกาขี้งอน........
แทยอนขี้ ง้อ..........
หลังจากการสอบปลายภาคได้ผ่านพ้นไปร่วมอาทิตย์ คนตัวเล็กดูจะไม่ค่อยจะอยู่ติดกับที่เท่าไหร่ วันอาทิตย์ไปเที่ยวกับแฟน วันจันทร์ตระเวนถ่ายรูปงานสถาปัตยกรรมรอบเมือง วันอังคารไปนั่งอยู่ที่ไหนสักแห่งมองอะไรสักอย่างแล้วก็ขีด ๆ เขียน ๆมันลงในสมุดสเก็ตเล่มโปรด วันพุธขลุกอยู่ในหอศิลป์ชมงานศิลปะที่มนุษย์สรรสร้าง วันพฤหัส วันศุกร์ และวันเสาร์ที่มาพร้อมกับกิจกรรมที่เจ้าตัวจะรังสรรค์ขึ้นมา เช่นเดียวกันกับวันนี้
“ หวัดดีป้า” เสียงทักทายที่ไม่รู้ว่าคนที่ถูกทักจะชอบรึเปล่าดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออกพร้อมกับปรากฏร่างของคนที่เป็นเจ้าของน้ำเสียงเมื่อสักครู่
“หนังสือออกยัง” คงหมายถึงหนังสือของนักเขียนคนโปรดของเค้า
“นานแล้ว”
“อ้าวหรอ งั้นซื้อเลยแล้วกัน”
“ปกติเห็นแต่อ่านฟรี”
“เปลี่ยนใจละยืมไปอ่านดีกว่า”
“ตามใจ”
“จัดหนังสือเข้าชั้นให้ด้วย” ส่งสายตาเหลือบมองไปยังกล่องกระดาษสีน้ำตาลสามกล่องบนพื้นเป็นข้อความเชิงสั่งให้คนตัวเล็กช่วยเอาหนังสือในกล่องมาวางบนชั้นให้ด้วย
คนตัวเล็กพยักหน้าตอบรับก่อนจะลากกล่องกระดาษมาใกล้ตัวจัดการแกะเทปกาวที่ติดอยู่บนฝา กล่องออกและนำหนังสือมาจัดวางบนชั้นตามคำสั่ง มือเล็กบรรจงหยิบหนังสือทีละเล่มมาจัดวางให้เป็นระเบียบใบหน้าระบายรอยยิ้มอยู่ไม่ขาด
“วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยนะเดี๋ยวพาไปกินติม” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นขณะที่สายตายังไม่ละไปจากชั้นหนังสือ
“อารมณ์ไหนเนี่ย” เจ้าของร้านเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“สอบเสร็จแล้วก็ที่ให้ยืมหนังสือบ่อยๆ” หนังสือเล่มสุดท้ายถูกวางให้เข้าที่ก่อนจะละสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
“ทำไมไม่ชวนแฟนหละ”
“ช่วงนี้คงยุ่งๆ สอบยังไม่เสร็จ”
“ตกลงตามนี้นะสองทุ่มเดี๋ยวมารับ....ห้ามเลท” ไม่ทันให้หญิงสาวได้เอ่ยอะไรต่อคนตัวเล็กก็ตัดบทด้วยประโยคแสนเอาแต่ใจ
“เอาเล่มนี้ห่อปกให้ด้วย...ส่วนสามเล่มนี้ยืม” วางหนังสือลงบนเคาน์เตอร์ไม้ก่อนจะยืนเท้าคางกับของของเคาน์เตอร์มองเจ้าของร้านที่กำลังห่อปกหนังสือให้ตามคำขอ รับถุงหนังสือมาถือในมือและก่อนออกจากร้านก็ไม่ลืมเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับยู่หน้าเล็ก ๆ
“อย่าลืมนะสองทุ่มห้ามเลท”
เนื่องด้วยการสอบปลายภาคกำลังคลืบคลานเข้ามา เหลือเวลาประมาณสามวันก่อนจะลงสนามจริง วันทั้งวันของเจจสสิก้า จอง เลยหมดไปกับกองหนังสือที่วางตรงหน้านี้ ช่วงนี้เธอดูเหมือนจะสนใจตัวหนังสือในหน้ากระดาษมากกว่าแฟนเป็นตัวเป็นตนของตัวเองซะอีก จะว่าไปก็ไม่ได้โทรคุยกันเกือบอาทิตย์ แต่ที่ทำทุกวันก็คงจะเป็นการส่องอินสตราแกรมของอีกคนที่ลงรูปไม่เว้นแต่ละวัน วันละหลายๆ รูป แต่ละวันสถานที่ไม่ซ้ำดูเหมือนว่าเธอลั้ลลาออกหน้าออกตาซะเหลือเกิน อย่าให้ถึงทีฉันก็แล้วกัน.... ฮึ่ย..... แต่ตอนนี้ขอคบหากับตัวหนังสือสักพัก หน้ากระดาษถูกพลิกเปลี่ยนเป็นหน้าใหม่สายตายังไล่อ่านตัวหนังสือยังไม่ถึงครึ่งหน้าแต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเสียงข้อความจากโปรแกมแชทยอดนิยมในโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น ถ้าจะให้เดาคงเป็นคนที่ฉันเพิ่งแอบนินทาในใจไปเมื่อตะกี้
“ ทำไรอยู่อ่ะ”
“กำลังพิมพ์ตอบเธออยู่นี่ไง”
“กวนละ.... เอาเป็นว่าก่อนหน้านี้ทำอะไร”
“หยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาดู 555.....ล้อเล่นๆ อ่านหนังสืออยู่”
“ว่างปะสองทุ่ม”
“ไม่”
“ว่าจะชวนไปกินติม ฉลองสอบเสร็จ”
“เธอสอบเสร็จคนเดียวหนิก็ไปคนเดียวสิ”
“ใจร้าย”
“อือฉันมันใจร้าย”
“อ่า.....เค้าล้อเล่น ก็ประชดซะ”
“ไม่กวนละๆ”
“ไปเลยไอ้เตี้ย”
“แงง....ไล่จังไปก็ได้ สู้ๆนะที่รัก”
“ใครที่รักเธอไม่ทราบ”
“คนที่คุณก็รู้ว่าใคร”
ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ พยามยามไม่โต้ตอบอีกฝ่ายให้ยืดยาวกว่านี้ มีหวังเธอไม่ได้อ่านหนังสือเป็นแน่ ไล่อ่านข้อความอีกรอบก่อนรอยยิ้มจะแต่งแต้มบนใบหน้าอย่างห้ามไม่ได้
คิมแทยอน....คนบ้า.....
.
.
.
ฝีเท้าเล็กหยุดลงพร้อมอาการหอบเหนื่อยที่กำลังเล่นงาน เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะมองเลยผ่ายเข้าไปในร้านหนังสือ ไฟทุกดวงปิดสนิทประตุหน้าร้านก็เช่นกัน
“ช้าไปสิบนาทีนะ” หญิงสาวเจ้าของร้านเอ่ยขึ้นสายตามองตรงไปยังใบหน้าของคนตัวเล็กกว่ายังฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้กำลังก้มหน้างุดด้วยความผิด ให้ตายสิ....เป็นตัวเองซะเองที่มาช้า
“คนอื่นห้ามช้าแต่ตัวเองมาช้าได้ว่างั้น” เธอเอ่ยโดยไม่ได้จริงจังอะไร และก็ใบหน้าหงอย ๆ นั่นก็เรียกรอยยิ้มจากเธอได้ไม่ยาก
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยทำหน้าสำนึกผิดอยู่ได้” มือบางยกขึ้นไปจับใบหน้าใสให้เงยขึ้น
“จะไปได้ยัง” คือคำพูดของคนสำนึกผิดที่เอ่ยถาม หญิงสาวไม่ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าสองสามทีแทนคำตอบของคำถาม
ตอนนี้เราเดินอยู่ริมฟุตบาธข้างทางหลังจากออกมาจากร้านเนื้อย่าง ไม่ต้องสงสัยคนที่บอกจะพามากินไอติมในตอนแรกเกิดติสท์แตกเปลี่ยนใจขึ้นมาดื้อ ๆ สุดท้าเราก็เลยได้เข้าไปนั่งดมกลิ่นเนื้อแทนที่จะเป็นไอศกรีมหวาน ๆ
“อยากกินเบียร์”
“ไข้ขึ้นรึเปล่า” หญิงสาวที่เอ่ยขึ้นหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่จากปากของคนตัวเล็ก
“อยากกินจริงๆ” เอ่ยยืนยันว่าเธอไม่ได้แค่พูดลอยๆ
“ไม่เอาเดี๋ยวเมา”
“on the rock ยังเคยมาแล้ว”
“โอเคๆ”
ไม่นานคนตัวเล็กก็ออกมาจากร้านสะดวกซื้อข้างทางพร้อมเบียร์สองกระป๋อง ทั้งสองเดินเรียบเคียงฟุตบาธมาเรื่อยๆก่อนจะถึงสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลนัก กระป๋องเบียร์ถูกเปิดออกก่อนจะถูกยกจรดริมฝีปากโดยคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ บนม้านั่งไม้สีขาว
“ถ้ารสชาติมันจะแย่ขนาดนั้นก็ไม่รู้จะกินทำไม” เธอเอ่ยหลังจากมองสีหน้าเหยเกของคนที่พึ่งซดเบียร์ลงคอไปอย่างยากลำบาก ส่วนคนตัวเล็กไม่ได้สนใจกับคำกล่าวของหญิงสาวเมื่อครู่ เธอเพีบงหยิบเบียร์อีกกระป๋องที่เหลือส่งให้
“ไม่เอา...วันนี้ต้องทำงาน” ปฏิเสธกระป๋องเบียร์ในมือของคนตัวเล็ก มือสองข้างยกขึ้นมากอดอกด้วยที่อุณหภูมิตอนนี้ดูเหมือนจะลดต่ำลงมาก
“หนาวหรอ กลับเลยก็ได้นะ” หลังจากที่เห็นอีกคนนั่งกอดอกตัวเองอยู่ตอนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“แค่ไม่ชินหนะ” ก็จริงที่เธอว่าวัน ๆ เธอก็ขลุกอยู่แต่ในร้านหนังสือ เย็นก็กลับคอนโดไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนบ่อย ๆ เลยไม่แปลกที่จะไม่คุ้นชินอากาศในยามค่ำคืนแบบนี้
สวนสาธารณะยามค่ำคืนปลอดผู้คน เราทั้งสองยังนั่งที่เดิมแต่ที่แปลกไปคงเป็นความเงียบที่เริ่มทำงานอยู่ตอนนี้ ราวสิบนาทีหลังจากประโยคสุดท้ายหลุดออกมาจากริมฝีปาก
“ป้าเคยรู้สึกดีกับใครสักคนมั้ย” เป็นคนตัวเล็กที่ทำลายความเงียบลงด้วยประโยคคำถามที่ทำเอาคนฟังต้องเลิกคิ้วให้กับคำถามที่มักไม่มีที่มาที่ไปจากอีกคน เธอนิ่งคิดสักครู่ก่อนจะเอ่ยตอบไป
“เคยมั้ง”
“แล้วมันพอมั้ยที่จะเรียกว่าความรักได้รึเปล่า” คนถูกถามใช้ความคิดอีกสักครู่
“อาจจะแค่ปลื้ม ๆ ”
“ก็ขอให้เป็นแค่นั้น” ประโยคที่อีกคนเอ่ยเหมือนแค่พูดลอย ๆ ออกมา เธอไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ถามเรื่องทำนองนี้ หรืออาจจะเมาเลยพูดอะไรเพ้อเจ้อ
“ถามทำไม”
“เปล่าไม่มีอะไรหรอก”
.
.
.
.
.
วันนั้นเมื่อสี่ปีก่อนวันที่ฉันก้าวไปในร้านหนังสือแห่งนั้น ตอนนั้นจำได้ว่าไปหาหนังสืออ่านเตรียมสอบซึ่งไม่ค่อยจะมีในร้านสักเท่าไหร่เพราะส่วนมากจะมีแต่หนังสือนิยายเป็นส่วนใหญ่ รอยยิ้มทักทายของเจ้าของร้านในวันนั้นฉันไม่เคยลืม รู้สึกไม่เป็นตัวเองเอาซะเลยเวลาทีเจ้าของร้านคนนั้นถามไถ่ว่าต้องการหนังสือประมาณไหน วันนั้นพูดจาตะกุกตะกักจนเธอแอบหัวเราะด้วย น่าอายชะมัด หลังจากนั้นไม่รู้ด้วยเหตุผลใดที่ทำให้ฉันต้องไปร้านหนังสือแห่งนั้นทุกอาทิตย์ พร้อมกับหนังสือนิยายทีละเล่มสองเล่มทั้งที่ฉันไม่เคยอ่านหนังสือประเภทนี้มาก่อน จะอะไรซะอีกหละก็คุณเจ้าของร้านนั่นแหละที่แนะนำ ไม่สิหลอกล่อเรียกอย่างนี้น่าจะถูก เล่มนี้ดีนะ อันนี้ออกมาใหม่ ลองอ่านอันนี้ดูคนเขียนเขียนได้ดีมาก อะไรประมาณนี้ นอกจากนี้เธอยังเสนอให้ยืมหนังสือฟรี ๆ มาอ่านที่บ้านด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลให้ฉันติดนิยายอย่างช่วยไม่ได้ ความสัมพันธ์ของเราเติบโตเรื่อยมาจากวันแรก เป็นสัปดาห์แรก เดือนแรก ปีแรก และหลายปีถัดมา จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้ ฉันยังเป็นเด็กคนเดิมสำหรับเธอเมื่อสี่ปีที่แล้ว ส่วนเธอก็ยังเป็นเจ้าของร้านหนังสือเป็นพี่สาวที่ฉันไม่ค่อยจะเรียกว่าพี่เป็นคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วสบายใจ มันก็เป็นอย่างนี้แหละเป็นมานานแล้วด้วย
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม........
มีเพียงความรู้สึกของฉันเท่านั้นที่เปลี่ยนไป......
.........ฉันก็หวังว่ามันจะไม่ใช่ความรัก
ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์ที่กำลังพล่านในกระแสเลือด อาจไม่ไดมากจนทำให้เมามายแต่ก็มีพอที่จะทำให้ใบหน้าขาวซีดนั้นมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาได้ ศีรษะน้อยๆ กำลังปวดตุบๆ จนทำให้คนอวดเก่งต้องหาที่พักพิงนั่นก็คือไหล่ของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน เอนศีรษะลงกับไหล่ของคนข้างๆ อย่างถือวิสาสะ คนอายุมากกว่าหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ดูแก้มแดงๆนั่นสิเธออยากจะหยิกมันสักครั้งให้หายหมั่นไส้ คนอวดเก่ง
“ไหนบอก on the rock ยังเคยมาแล้วเบียร์สองกระป๋องทำไมเมาหละ” รอยยิ้มย้อยๆปรากฏแต่งแต้มบนใบหน้า นิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยไรผมที่ปิดบังใบหน้าแดงระเรื่อของคนตัวเล็ก
“ไม่ได้เมาซะหน่อยแค่ปวดหัว” ท่าทางเหวี่ยงเล็ก ๆ และการเถียงคำไม่ตกฟากของคนอวดเก่งเพียงแค่นี้ก็เรียกรอยยิ้มของเธอได้อีกไม่ยากเช่นกัน
คนตัวเล็กขยับศีรษะให้เข้าใกล้คนข้างๆ มากยิ่งขึ้น ปลายจมูกห่างจากต้นคอของอีกคนแค่ฝ่ามือกั้น กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ทำเอาสติกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับร่องกับรอย อาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ร่วมด้วยทำให้ยากเกินกว่าจะควบคุม ยามที่คนข้างๆ หันมามองใบหน้าเราห่างกันแค่คืบสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดใบหน้า น้ำเสียงน่าฟังที่ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นที่คอยพูดหยอกเย้าให้คนฟังต้องใจเต้น ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเธอเหมือนหลุดลอยไปกลางอวกาศเกินกว่าจะเรียกมันกลับมาได้
เธอยกศีรษะที่พึงบนไหล่ออกก่อนที่เจ้าของหัวไหล่ที่เธอใช้พักพิงเมื่อสักครู่จะหันมามอง เธอโน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกคน มือเล็กยกขึ้นประคองใบหน้าหญิงสาว ช่องว่างระหว่างเราลดลงเรื่อยๆ จนเหลือศูนย์ ริมฝีปากเราสัมผัสลงบนตำแหน่งเดียวกัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน อ่อนโยน แผ่วเบา เนิบนาบ ทว่าเนิ่นนาน
เก็บกวาดสติที่หล่นหายไปชั่วครู่ให้กลับมา เป็นคนอายุมากกว่าที่ผละริมฝีปากออกก่อน ใบหน้าเธอเห่อร้อน กลิ่นแอลกอฮอลล์จากริมฝีปากของอีกคนยังอบอวลในห้วงความรู้สึก เมื่อกี้เราจูบกันถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกันก็เถอะ เธอยอมรับว่ารู้สึกดีแค่ไหนกับสัมผัสเมื่อครู่แต่ก็ไม่ควรคิดอะไรไปมากกว่านั้น ไม่ลืมว่าอีกคนมีใครอีคนอยู่แล้ว ภาวนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงคำสั่งการณ์ของแอลกอฮอลล์ในกายของอีกคนเท่านั้น
คนตัวเล็กผ่อนลมหายใจยาวสายตามองทอดไกลไร้จุดโฟกัส ตอนนี้เธอไม่กล้ามองหน้าคนข้างๆ ไม่กล้าแม่แต่จะขยับกาย นึกว่าอีกคนจะตบหน้าเธอเข้าซักป้าบแล้วซะอีก
“ฉันได้แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่ความรัก”
.
.
.
.
เดินเลียบถนนมาเรื่อย ๆ ปราศจากบทสนทนาใด ๆ หลังจากคนตัวเล็กโพล่งประโยคสุดท้ายไปร่วมครึ่งชั่วโมง เราแยกกันตรงป้ายรถเมล์ เธอกลับคอนโด คนตัวเล็กก็คงกลับคอนโดเช่นกัน เราจากกันตรงนั้นโดยปราศจากคำร่ำลา คนตัวเล็กเพียงแค่หันมามองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันก็หวังว่ามันคงไม่ใช่ความรัก”
นั่งเคาะแป้นคีย์บอร์ดมาเกือบจะชั่วโมงตัวหนังสือที่ปรากฏในจอยังไม่ถึงครึ่งหน้าด้วยซ้ำ จิตใจล่องลอยยากเกินกว่าจะจดจ่อกับงานที่ทำอยู่ตรงหน้าได้จึงตัดสินใจปิดมันลง ตั้งแต่วันนั้นจะสองอาทิตย์แล้วสินะที่คนตัวเล็กหายหน้าหายตาไปจากชีวิตประจำวันของเธอ มหาลัยก็ไม่ได้ไป การบ้านก็คงไม่มี เที่ยวกับแฟนก็คงไม่ทุกวันขนาดนั้นหรอกมั้ง วันๆจะขลุกอยู่ในห้องทั้งวันหรือไม่มีทาง หรืออาจจะไปเที่ยวต่างจังหวัด กลับบ้นไปหาครอบครัว หรือตั้งใจจะหลบหน้าเธอกันแน่ เฮ้อแล้วฉันจะคิดถึงเธอทำไมกันเนี่ยเด็กบ้า ตอนนี้เธอไม่เป็นอันทำอะไรเสียเลยนอกจากการถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
.....คิมแทยอนเด็กบ้าฉันจะประสาทกินอยู่แล้ว ให้ตายสิ
หน้าจอมือถือปรากฏหมายเลขโทรศัพท์ของอีกคนจ้องมองอยู่นานก่อนจะวางมันลง จำได้ว่าตั้งแต่รู้จักกันมาเธอโทรหาคนตัวเล็กนับครั้งได้ ยิ่งพวกโปรแกรมแชทต่างๆ นานาทั้งหลายแหล่ยิ่งไม่เคย ไม่รู้สิเราเจอกันทุกอาทิตย์ ถ้าอาทิตย์ไหนอีกคนว่างๆ ก็เจอกันวันเว้นวันน่าจะได้ ช่องทางการสื่อสารเหล่านี้จึงถูกลดความสำคัญลงไป ไม่สิมันไม่สำคัญเลยสักนิด
.
.
.
.
ประตูหน้าร้านถูกเปิดออกพร้อมกับร่างคนที่เธอนึกถึงมาตลอดอาทิตย์ ความอึดอัด ความคิดฟุ้งซ่าน และอะไรต่างๆ นานาที่ทำให้เธอไม่เป็นอันทำอะไรมาหลายวันเหมือนถูกปลดปล่อยให้ล่องลอยไปในอากาศ
“เอาหนังสือมาคืน” คนที่พึ่งก้าวย่างเข้ามาในร้านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หนังสือสามเล่มวางบนเคาน์เตอร์ ใบหน้าก้มมองพื้นกระเบื้องไม่รู้ว่ามันมีสิ่งมหัศจรรย์อันใดให้น่าค้นหา
“เรื่องวันนั้น..........”
“ฉันจะถือว่าเธอเมาแล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยแทรกก่อนที่อีกคนจะพูดจบประโยค
“ขอโทษ”
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยแล้ว ก็เลิกทำหน้ามึนๆ สำนึกผิดแบบนี้ซะที น่ารำคาญ” เอ่ยอย่างไม่ได้จริงจังอะไร ขำมากกว่าที่เห็นใบหน้ามึนๆ ซึนๆ นั้นแล้ว
“แล้วก็จัดหนังสือเข้าชั้นให้ด้วย”
“ไม่โกรธจริงอ่ะ”
“เร็ว ๆ ก่อนฉันจะเปลี่ยนใจ”
“โอเคๆ”
.
.
.
.
หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิมทุกอย่าง ฉันยังแวะเวียนมาร้านหนังสือแห่งนี้ทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละหลายวัน เรายังคุยกันได้ทุกเรื่อง เว้นเสียแต่เรื่องวันนั้นไม่มีใครพูดถึงมันอีก แต่ฉันเชื่อเสมอไม่ว่าฉันหรือเธอคงไม่มีวันลืมมันแน่นอน ส่วนเรื่องของฉันกับคนรักก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแลง นิสัยขี้งอนที่แก้ไมหายของเธอ และนิสัยขี้ง้อของฉันก็ไม่ได้ลดน้อยลง
อะไรหลายๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิตทำให้ฉันเข้าใจสิ่งหนึ่งมากขึ้น ความรักเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา กับทุกคน ไร้ที่มา ไร้แบบแผน ไร้เหตุผล และไร้การควบคุม
ฉันรักเจสสิก้ามาก.....
แต่ก็ใช่ว่าจะรักทิฟฟานี่ไม่ได้.......
อาจจะดูเหมือนคนเห็นแก่ตัวไปหน่อยก็เถอะ.......
แต่มันก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นมานานแล้วด้วย.........
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
จบแบบมึนๆ ซึนๆ เหมือนหน้าพี่แทตอนสำนึกผิด
อย่าได้หาสาระกับเรื่องนี้แต่งสนองความต้องการตัวเองทั้งนั้น
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่าน
ผลงานอื่นๆ ของ มัง คุด ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มัง คุด
ความคิดเห็น